หน้าแรก ข่าวประชาสัมพันธ์ สคส. จี้บริษัทเคลียร์ให้ชัด แจงประชาชนระวัง “สแกนม่านตา” ย้อนกลับ ระบุตัวบุคคลได้

สคส. จี้บริษัทเคลียร์ให้ชัด แจงประชาชนระวัง “สแกนม่านตา” ย้อนกลับ ระบุตัวบุคคลได้

สคส. ย้ำ “ข้อมูลม่านตาคือข้อมูลอ่อนไหว” ต้องโปร่งใส–เคารพสิทธิประชาชน ข้อมูลชีวมิติ (Biometric Data) โดยเฉพาะม่านตา ถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวตามกฎหมาย การเก็บรวบรวมต้องได้รับความยินยอม (Consent) อย่างถูกต้อง โปร่งใส และแจ้งวัตถุประสงค์ที่แท้จริง

พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สคส. หรือ PDPC เปิดเผยภายหลังได้ตรวจพิสูจน์หลักฐานการสแกนม่านตาดังกล่าวว่า กรณีนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่ยังสะท้อนถึง ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคมไทย

พร้อมเน้นย้ำว่า “ข้อมูลชีวมิติ (Biometric Data) โดยเฉพาะม่านตา ถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวตามกฎหมาย ต้องได้รับความยินยอมอย่างถูกต้องและโปร่งใส” พร้อมระบุ 2 เงื่อนไขสำคัญที่จะสร้างความสงบเรียบร้อยและความเชื่อมั่น คือ

1.        ความโปร่งใส (Transparency) ในการแจ้งวัตถุประสงค์ที่แท้จริง และ

2.        การคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูล (Data Subject Rights) อย่างครบถ้วน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบของ สคส. พบข้อกังวลหลายประเด็น โดยบริษัทแม้อ้างว่ามีการ “ลบทำลายข้อมูล” การสแกนม่านตามีวัตถุประสงค์เป็นเพียงการยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น มิได้มีวัตถุประสงค์ในการระบุยืนยันถึงตัวบุคคล แต่ยังไม่มีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่ามีการลบทำลายจริงหรือไม่อย่างไร อีกทั้งยังพบกรณีการจ้างบุคคลเข้ามาสแกนม่านตาเพื่อแลกเหรียญ ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยและเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ แม้ว่าบริษัทจะชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพ แต่ สคส. เห็นว่าจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเชิงรุก อาทิ การจัดทำข้อความแจ้งเตือน การติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ที่ชัดเจน และการจัดเจ้าหน้าที่ควบคุมการสแกนในพื้นที่จริง

และเพื่อความโปร่งใส บริษัทได้ชะลอการสแกนม่านตา และกำหนดวันแสดงหลักฐานต่อสาธารณชน ผลการแสดงหลักฐานพบว่า ผู้ที่สแกนแล้วไม่สามารถสแกนซ้ำได้อีก แสดงว่าการสแกนม่านตามีวัตถุประสงค์ทั้งเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์และป้องกันการซ้ำบุคคล แม้จะอ้างว่ามีการลบข้อมูล แต่ข้อมูลม่านตายังสามารถย้อนกลับไประบุตัวบุคคลได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งประชาชนควรรับรู้ก่อนตัดสินใจยินยอมสแกน

พ.ต.อ. สุรพงศ์ ระบุว่า หากการขอความยินยอม (Consent) ไม่แจ้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่า ข้อมูลยังสามารถย้อนกลับมายืนยันตัวบุคคลได้ อาจถือเป็นการขอความยินยอมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 19 วรรค 3 อันเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนตามมาตรา 26 คือการเก็บรวบรวมข้อมูลอ่อนไหว โดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้ง มีโทษตามมาตรา 84 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ซึ่งมีโทษปรับทางปกครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท

“เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงประเด็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่คือความมั่นคงของสังคม ซึ่งมาตรการในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลคือ ต้องสื่อสารข้อเท็จจริงให้ประชาชนเข้าใจอย่างตรงไปตรงมา ทาง สคส. จะดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด และสมดุลกับการพัฒนาเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับบริบทสังคมไทยต่อไป” พ.ต.อ. สุรพงศ์ กล่าวสรุปในตอนท้าย

แสดงความคิดเห็น

Exit mobile version