OPPO Reno5 Series เป็นสมาร์ทโฟนอีกรุ่นที่น่าจับตา โดดเด่นตั้งแต่ตัวเครื่องดีไซน์สวยระยิบระยับ น้ำหนักเบา ฟังก์ชั่นวิดีโอ Portrait เด่นไม่ซ้ำใคร โดยจะเริ่มเข้าไทย 2 รุ่น OPPO Reno5 5G และ OPPO Reno5 4G ทั้งคู่หากดูภายนอกอาจจะไม่เห็นความแตกต่างกันมากนัก จะต่างกันที่สเปคด้านใน แต่กล้องหลังให้มา 4 เลนส์ ที่ความละเอียดเท่ากัน มีกล้องหลัก 64MP แตกต่างกันที่ขนาดตัวเครื่องเล็กน้อย ชิปเซ็ต กล้องหน้า และแบตเตอรี่

ดีไซน์ตัวเครื่อง

เมื่อแกะกล่องออกมาสัมผัสแรกตัวเครื่องที่มีขนาดบางและน้ำหนักเบา จับกระชับมือด้วยขอบโค้ง โดยที่ OPPO Reno5 5G มีขนาดอยู่ที่ 159.1 × 73.4 × 7.9 มม. น้ำหนัก 172 กรัม (สี Starry Black) และหนัก 180 กรัม (สี Galactic Silver) ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่มีน้ำหนักเบา และแบตฯ ก็ยังให้มาเยอะ

ส่วนตัวเครื่อง OPPO Reno5 จะมีขนาดอยู่ที่ 159.1 × 73.3 × 7.7 มม. (สี Starry Black) และขนาด 159.1 × 73.3 × 7.8 มม. (สี Fantasy Silver)

แม้ว่าตัวเครื่องจะบาง แต่เรื่องของการออกแบบฝาหลังก็ยังไม่ละทิ้ง ใส่เทคนิคการออกแบบด้วยเทคโนโลยี Reno Glow ในสี Galactic Silver และ Fantasy Silver ให้มีความระยิบระยับเปล่งประกายออกมาเป็นสีที่แตกต่างกันในแต่ละมุมมอง โดยสามารถเห็นได้ทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีเขียว สีเหลือง สีฟ้า สีม่วง และ สีส้ม นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังให้ผิวสัมผัสแบบด้าน ป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือลดคราบมันบนฝาหลังไม่ให้กวนใจแน่นอน

ส่วนฝาหลังของสี Starry Black จะมีผิวสัมผัสมันวาว ดูแล้วมีเสน่ส์ชวนหลงไหล มีรสนิยมและความอ่อนโยนได้พร้อมกันในตัว แต่ก็ต้องแลกความสวยงามด้วยรอยนิ้วมือที่อาจจะเกิดขึ้นมากกว่าสีด้านบน

หน้าจอแสดงผลมีขนาดเท้ากันอยู่ที่ 6.43 นิ้ว เทคโนโลยี AMOLED ให้สีสันสดใสและคมชัด ความละเอียด FHD+ (2400×1080 พิกเซล) อัตราส่วน 20:9 โดยที่ขอบทั้งสี่ด้านยังคงมีขอบดำเหลืออยู่บ้าง แต่โดยรวมมีพื้นที่ใช้งานกว่า 91.7%

นอกจากนี้ หน้าจอยังรองรับรีเฟรชเรทอยู่ที่ 90Hz และยังตั้งค่าใช้งานที่ 60Hz ได้ โดยได้รับมาตรฐานป้องกันดวงตาจาก SGS Eye Care สามารถดู Netflix และ Amazon Prime ได้ที่ความละเอียด HD

OPPO Reno5 5G และ OPPO Reno5 ยังให้กล้องหน้าแบบ In-Displsy หรือเจาะรูอยู่ที่มุมด้านซ้าย มีความละเอียด 32MP, f/2.4 สำหรับ OPPO Reno5 5G และ OPPO Reno5 มีกล้องหน้า 44MP, f/2.4 และขอบจอตรงกลางจะมีช่องลำโพงเสียง

ปุ่มควบคุมการทำงานจะอยู่บนหน้าจอในรูปแบบซอร์ฟแวร์ และยังรองรรับการปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือบนจออีกด้วย

ตัวเครื่องด้านบนจะมีเพียงรูไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน

ด้านล่างของเครื่องที่ว่าบางแล้วยังใส่ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ มาพร้อมพอร์ต USB Type-C รองรับชาร์จเร็ว และมีไมโครโฟนอีก 1 ตัว พร้อมกับลำโพงเสียงตัวเครื่อง

ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM 2 ช่อง จะอยู่ทางด้านซ้ายของเครื่อง โดย OPPO Reno5 5G ไม่รองรับ MicroSD แต่ OPPO Reno5 ถาดซิมแบบ 3 Slot และถัดลงมาเล็กน้อยจะมีปุ่มปรับระดับเสียง

ส่วนตัวเครื่องด้านขวาจะมีเพียงปุ่ม Power เท่านั้น

ฝาหลังของ OPPO Reno5 5G และ OPPO Reno5 มีความโค้งรับกับขอบด้านข้าง โดยมีเลนส์กล้องถ่ายรูปด้านหลังทั้ง 4 เลนส์ เรียงกัยอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมอีกชั้นที่มุมซ้ายของเครื่อง พร้อมไฟแฟลช LED แบ่งออกเป็น

กล้องหลัง 4 เลนส์

  • กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล, f/1.7, HDR, PDAF, EIS
  • Ultra-Wide-Angle 8 ล้านพิกเซล, f/2.2
  • เลนส์ Macro 2 ล้านพิกเซล, f/2.4
  • เลนส์ Portrait 2 ล้านพิกเซล, f/2.4

จุดเด่นของ OPPO Reno5 5G และ OPPO Reno5

กล้องถ่ายรูป

กล้องถ่ายรูปหลักมีความละเอียด 64 ล้านพิกเซล มี AI Scene Enhancement เข้ามาช่วยวิเคราะห์สิ่งที่กำลังถ่ายให้ออกมามีสีสันคมชัด และตรงกับที่ตามองเห็น รองรับการจดจำได้มากถึง 22 ฉาก เช่น ชายหาด ฉากท้องฟ้า ฉากแมว ฉากข้อความ ฉากสุนัข และอื่นๆ

กล้อง 12MP

กล้องถ่ายภาพที่เป็นค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 12 ล้านพิเซล ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอต่อการถ่ายภาพทั่วไป มี HDR เข้ามาช่วยให้ฉากหลังชัด รายละเอียดครบ ปรับการถ่ายได้ 4 ระยะ เริ่มจากค่าปกติ 12 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 0.6 องศา และยังรองรับการซูม 2x, 5x

ภาพถ่าย 1x
ภาพถ่ายมุมกว้าง 0.6
Zoom 1x
Zoom 5x

มุมกว้าง

เลนส์มุมกว้างทั้งคู่ให้มา 8 ล้านพิกเซล เก็บภาพถ่ายได้กว้าง 119 องศา โดยอยู่ในมุมกว้างที่กำลังสวยงาม ภาพที่ถ่ายออกมาไม่บิดเบี้ยวเกินจริง สามารถเก็บวิว กลุ่มเพื่อนได้มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องถอยออกมาเยอะๆ

Portrait

โหมดถ่ายภาพบุคคลสามารถใช้งานได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง มี AI Beauty ปรับแต่งหน้าสวยไปได้พร้อมกัน หรือจะเพิ่มเอฟเฟกต์ให้รูปบุคคลธรรมดาดูมีสีสันมากขึ้น

สำหรับการตัดขอบระหว่างตัวบุคคลกับฉากหลักทำได้ดี อาจจะไม่เห็นเป็นเส้นคมชัดแต่ขอบเนียนเป็นธรรมชาติ ฉากหลังเบลอสวยงามกำลังดี

Ultra Night Mode

โหมดถ่ายรูปกลางคืนก็แยกออกมาให้บนเมนูกล้อง สามารถถ่ายภาพกลางคืนได้ทุกสภาพแสง ซึ่งมี AI ในการปรับฉาก แสง และสีให้คมชัด ลดการเกิดจุดรบกวน ให้ได้ภาพถ่ายกลางคืนที่คมชัด

นอกจากนี้ โหมดกลางคืนยังรองรับการถ่ายได้ถึง 3 ระยะ ไม่ว่าจะเป็นมุมกว้าง ปกติ 1x, 2x และ 5x ซึ่งได้ภาพถ่ายกลางคืนที่มีความคมชัด ไม่สูญเสียรายละเอียด

วิดีโอ

OPPO Reno5 5G และ OPPO Reno5 มาพร้อมกับโหมดวิดีโอที่มีความโดดเด่น ให้เลือกใช้งานในสไตล์ที่ต่างกัน อาทิ

OPPO Reno5 5G ถ่ายวิดีโอนิ่งและเสถียรด้วยเทคโนโลยีกันสั่น Ultra Steady Video 3.0 มี AI Portrait ช่วยให้การถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยในโหมด Portrait Beautification Video ของกล้องหน้าสามารถถปรับแต่งหน้าสวยด้วย Smart AI recognition ตรวจจับเพศ อายุ เพื่อใส่เอฟเฟกต์ความงามให้เหมาะสม และยังปรับความสว่างให้หน้าใสเป็นธรรมได้อัตโนมัติ

Dual-view Video

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชั่น Dual-view Video ให้คุณสามารถถ่ายวิดีโอได้สองหน้าจอทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกัน โดยมีให้เลือกใช้งาน 3 รูปแบบ ทั้ง Split, Roundและ Rectangle

AI Mixed Portrait

OPPO Reno5 ยังเพิ่มฟังก์ชั่นการถ่ายวิดีโอด้วย AI Mixed Portrait เป็นการนำ Double exposure effect มาใช้ในการถ่ายวิดีโอ เรียกง่ายๆ คือการนำเอาวิดีโอ Portrait มาทับกับวิดีโอหรือฉากหลังอื่น เพื่อให้เกิดภาพซ้อน

Monochrome Video

OPPO Reno5 สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวแบบ Monochrome Video โดยรองรับการใช้งานกับกล้องหลังเท่านั้น เป็นการเลือกสีไฮไลท์เฉพาะ สีแดง สีเขียว หรือสีน้าเงิน ให้แสดงขึ้นมาโดดเด่นกว่าฉากหลัง

AI ColorPortrait

เปลี่ยนฉากพื้นหลังที่เป็นสีให้เป็นขาวดำ แต่ตัวบุคคลยังมีความเด่นอย่างเป็นธรรมชาติ สีต่างๆ ที่คนยังมีความชัดตัดกับหลัง โดยใช้งานได้ทั้กล้องหน้าและกล้องหลัง รวมถึงใช้ได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ

กล้องหน้า

กล้องหน้าของ OPPO Reno5 ให้มาที่ความละเอียด 44 ล้านพิกเซล ส่วน OPPO Reno5 5G มีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล โดยรวมแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก เพราะตัว AI หน้าสวยเข้ามาช่วยปรับให้หน้าเนียว เรียวเล็ก ตาโต ได้ตั้งแต่ 0-100 ระดับ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครชอบปรับมากหรือน้อยเท่าไหร่

นอกจากนี้ ยังมีเอฟเฟกให้เลือกใช้งานได้หลากหลายอารมณ์มากกว่า 15 แบบ เพิ่มความหลากหลากไม่ให้จำเจ

หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง/ระบบปฎิบัติการ

OPPO Reno5 Series รันบนระบบปฎิบัติการ ColorOS 11.1 based on Android 11 ซึ่งนอกจากหน้าตาที่ทันสมัย ยังใส่ฟังก์ชั่นที่ช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้น พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนได้ในแบบที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น

  • Always-On Display : รูปแบบนาฬิกาบนหน้าจอที่ติดอยู่ตลอดเวลาไม่ได้มาแบบสำเร็จรูปอย่างเดียว ยังสามารถปรับแต่งได้เองทั้งสี รูปแบบวันที่ หรือเวลา ทำให้ได้ Always-On Display ที่เป็นสไตล์ของเราเอง
  • Dark Mode : โหมดมืดก็ให้เลือกใช้งานได้เหมือนกับสมาร์ทโฟนทั่วไป ช่วยลดแสงไม่ให้ตาเมื้อยล้า และยังประหยัดพลังงานอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเลือกปรับแต่งได้ว่าจะใช้งานช่วงไหน กลางวันหรือกลางคืน และปรับความเข้มได้อีกต่างหาก
  • FlexDrop : ใช้งานได้หลายแอปฯ พร้อมกัน โดยที่ปรับขนาดของหน้าต่างแอปฯ ได้ หรือจะแสดงในรูปแบบ Pop-Up แบบลอยก็ทำได้เช่นกัน

ทดสอบประสิทธิภาพ

OPPO Reno5

  • OPPO Reno5 ทดสอบประสิทธิภาพความเร็วด้วย AnTuTu Benchmark v7.0.5 ได้คะแนนสูงถึง 309,825 คะแนน
  • OPPO Reno5 ทดสอบประสิทธิภาพ GeekBench 5 Multi-core ได้คะแนน 1671 และ Single-core คะแนน 593
  • OPPO Reno5 ทดสอบประสิทธิภาพกราฟิกด้วย 3DMark Sling Shot Exterme – OpenGLES 3.1 Overall – 2598 คะแนน และ Sling Shot 3673 คะแนน

OPPO Reno5 5G

  • OPPO Reno5 5G ทดสอบประสิทธิภาพความเร็วด้วย AnTuTu Benchmark v7.0.5 ได้คะแนนสูงถึง 309,825 คะแนน
  • OPPO Reno5 5G ทดสอบประสิทธิภาพ GeekBench 5 Multi-core ได้คะแนน 1769 และ Single-core คะแนน 603
  • OPPO Reno5 5G ทดสอบประสิทธิภาพกราฟิกด้วย 3DMark Sling Shot Exterme – OpenGLES 3.1 Overall – 3202 คะแนน และ Sling Shot 4407 คะแนน

จุดเด่นของ OPPO Reno5 5G และ OPPO Reno5

ดีไซน์ตัวเครื่อง

ตัวเครื่องถูกออกแบบมาอย่างปราณีต เป็นการรวมเฉดสีนับพันเฉดมาไว้บนเครื่อง ยิ่งเฉพาะตัวเครืองสี Fantasy Silver ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี Diamond Spectrum Process เป็นการนับสีสันต่างๆ มาไว้บนฝาหลัง ซึ่งจะเห็นเป็นสีที่แตกต่างต่างกันในแต่ละมุมมอง ไม่ว่าจะเป็น สีเขียว สีเหลือง สีฟ้า สีม่วงและสีส้ม

นอกจากนี้ ยังใช้เทคนิคการออกแบบด้วยเอฟเฟกต์ Reno Glow ทำให้ตัวเครื่องด้านหลังเปร่งประกายแวววาวได้อย่างสวยงาม

ส่วนตัวเครื่องสี Starry Black ก็จะเป็นเงาสะท้อนที่ทรงพลัง เป็นเงาสะท้อนและดำสนิทเมื่ออยู่ในที่มืด

ประสิทธิภาพ

OPPO Reno5 แลละ OPPO Reno5 5G ทั้งคู่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon แต่คนละซีรีย์ต่างกัน โดยที่ OPPO Reno5 ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon 720G Octa-core ความเร็ว 2.3 GHz, GPU Adreno 618 คู่กับ RAM 8 + ROM 128GB ซึ่งถ้าถามถึงการใช้งานทั่วไป เปิด-ปิดแอปฯ หลายๆ แอปฯ พร้อมกันก็ไม่อาการค้างหรือสะดุด และเกมอย่าง ROV ก็เล่นได้ลื่น เฟรมเรตอยู่ที่ 59-60 fps ตลอดการทำงาน

ส่วน OPPO Reno5 5G จะใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 765G Octa-core, 2.4 GHz, GPU Adreno 620 มาพร้อม RAM 8GB, ROM 128GB ซึ่งแน่นอนว่าเป็นชิปรองรับ 5G ทำงานได้รวดเร็ว ประสิทธิภาพสูง

ส่วนการเล่นเกมชิป Snapdragon 765G ขนาด 7 นาโนเมตร ตอบสนองการใช้งานได้เร็ว การเล่นเกมเรียกว่าทำได้ดีมาก บวกกับหน้าจอรีเฟรชเรท 90Hz มาพร้อม Game Mode ที่สามารถปิดกั้นการแจ้งเตือนไม่ให้รบกวนขณะเล่นเกม

รองรับ 5G

OPPO Reno5 5G ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Snapdragon765G 5G สามารถใช้งาน 5G คลื่น n1/n3/n5/n7/n8/n20/n28/n38/n41/n77/n78 ทำให้การดาวน์โหลด อัปโหลดคุณภาพสูง รวดเร็วและประหยัดเวลา

ชาร์จเร็ว

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจคือแบตเตอรี่นอกจากจะมีความจุถึง 4,300mAh ของ OPPO Reno5 5G ยังรองรับชาร์จเร็ว 65W SuperVOOC 2.0 ใช้เวลาชาร์จเต็มเพียง 35 นาทีเท่านั้น ส่วน OPPO Reno5 มีแบตฯ 4310 mAh รองรับชาร์จเร็ว 50W Flash Charging สามารถชาร์จแบตฯ ได้ 80% โดยใช้เวลา 31 นาที

อุปกรณ์ภายในกล่อง OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G

  • สมาร์ทโฟน
  • อแดปเตอร์ชาร์จเร็ว
  • สาย USB Type-C
  • หูฟังสมอลทอร์ค
  • เคสซิลิโคน
  • เข็มจิ้มซิม
  • คู่มือและใบรับประกัน

สเปค OPPO Reno5

  • หน้าจอขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล
  • ชิปเซ็ต Snapdragon 720G Octa-core, 2.3 GHz
  • หน่วยประมวลผลภาพ GPU Adreno 618
  • RAM 8GB, ROM 128GB
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด + MicroSD
  • กล้องหลัง 4 เลนส์
  • กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล, f/1.7, HDR, PDAF, EIS
  • Ultra-Wide-Angle 8 ล้านพิกเซล, f/2.2
  • เลนส์ Macro 2 ล้านพิกเซล, f/2.4
  • เลนส์ Portrait 2 ล้านพิกเซล, f/2.4
  • กล้องหน้า 44 ล้านพิกเซล, f/2.4
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 2.4GHz / 5GHz, Bluetooth 5.1, NFC, USB Type-C, On-The-Go
  • ระบบปฏิบัติการ ColorOS 11.1 based on Android 11
  • แบตเตอรี่ 4310 mAh รองรับ SuperVOOC Flash Charge 50W
  • ขนาดตัวเครื่อง 159.1 × 73.3 × 7.7 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก 171 กรัม
  • สี Fantasy Silver, Starry Black

สเปค OPPO Reno5 5G

  • หน้าจอขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล
  • 90Hz, Touch Sensing 180Hz
  • ชิปเซ็ต Snapdragon 765G Octa-core, 2.4 GHz
  • หน่วยประมวลผลภาพ GPU Adreno 620
  • RAM 8GB, ROM 128GB
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด + MicroSD
  • กล้องหลัง 4 เลนส์
  • กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล, f/1.7, HDR, PDAF, EIS
  • Ultra-Wide-Angle 8 ล้านพิกเซล, f/2.2
  • เลนส์ Macro 2 ล้านพิกเซล, f/2.4
  • เลนส์ Portrait 2 ล้านพิกเซล, f/2.4
  • กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล, f/2.4
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 2.4GHz / 5GHz, Bluetooth 5.1, NFC, USB Type-C, On-The-Go
  • ระบบปฏิบัติการ ColorOS 11.1 based on Android 11
  • แบตเตอรี่ 4300 mAh รองรับ 65W SuperVOOC 2.0
  • ขนาดตัวเครื่อง 159.1 × 73.4 × 7.9 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก 180 กรัม
  • สี Galactic Silver , Starry Black

ราคา

OPPO Reno5 วางขาย 2 สี ได้แก่ สีเงิน Fantasy Silver และ สีดำ Starry Black ในราคา 10,990 บาท และ OPPO Reno5 5G วางขาย 2 สี ได้แก่ สีเงิน Galactic Silver และสีดำ Starry Black ในราคา 13,990 บาท

สรุป

สำหรับ OPPO Reno5 Series ทั้ง 2 รุ่น ก็จะตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การรองรับเครือข่าย 4G และ 5G รวมถึงฟังก์ชั่นกล้องถ่ายวิดีโอที่มีความต่างกัน เช่น โหมด AI Mixed Portrait จะมีเฉพาะใน OPPO Reno5 รวมถึงโหมด AI ColorPortrait และ Monochrome Video ทั้งยังมีกล้องหน้า 44 ล้านพิกเซลมากกว่า และมีแบตฯ 4310 mAh รองรับ 50W SuperVOOC อาจจะชาร์จเร็วน้อยกว่ารุ่นพี่ แต่ถ้าเทียบกันในตลาดแล้วถือว่าเร็วมากรุ่นนึงเลยก็ว่าได้

โดยรุ่นนี้ยังสามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอก MicroSD ได่อีกด้วย ซึ่งมองว่าใครที่ยังไม่ต้องการใช้งาน 5G แต่อยากได้สเปคดี ราคาคุ้ม OPPO Reno5 ตอบโจทย์ได้ในราคาหมื่นนิดๆ เท่านั้น

ส่วน OPPO Reno5 5G ก็จัดเต็มทั้งชิป Snapdragon 765G ที่รองรับ 5G ตั้งแต่แกะกล่อง สามารถใช้งานได้เร็วทั้งการดาวน์โหลด อัปโหลด และมีแบตเตอรี่ชาร์จเร็วถึง 65W หรือประมาณ 35 นาทีแบตฯ เต็มโดยไม่รอนาน ซึ่งตอบโจทย์สำหรับใครที่มองหาสมาร์ทโฟน 5G ราคาหลักหมื่น

แสดงความคิดเห็น