เปิดวางจำหน่ายในไทยแล้วอย่างเป็นทางการสำหรับ iPhone 13 Series ทั้ง 4 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น iPhone 13 mini, iPhone 13, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ทั้งหมดถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นทั้งเรื่องของชิปเซ็ตที่ใช้เป็น A15 Bionic มาพร้อมกล้องปรับปรุงขึ้น มีโหมด Pro Cinematic ถ่ายวีดีโอคนหน้าชัดหลังเบลอ รวมถึงหน้าจอ ProMotion 120Hz บน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ซึ่งจะขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต A15 Bionic

ดีไซน์ตัวเครื่อง

ครั้งนี้เราจะมาแกะกล่องกับ iPhone 13 Pro Max สีที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงอย่างสีเงิน Silver ที่มีความเงางาม คล้ายกับสีขาวมุกที่เล่นเงาแสง มีตัวเครื่องขอบข้างเหลี่ยมเหมือนรุ่นก่อนทำจากสแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ผลิตเครื่องมือศัลยกรรมทำให้มีความแข็งแรงทนทานและกันน้ำมาตรฐาน IP68 แต่ขนาดหนาขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 160.8 × 78.1 × 7.65 มิลลิเมตร และหนัก 238 กรัม

มาพร้อมหน้าจอที่มีรอยบากเล็กลงกว่าเดิม แบบ Super Retina XDR พร้อม ProMotion 120Hz จอภาพ OLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซลที่ 458 ppi

รอยบากบนหน้าจอเล็กลงและย้ายลำโพงเสียงมาไว้ตรงกลาง พร้อมกล้องหน้า TrueDepth 12 ล้านพิกเซล ที่รองรับ Face ID

ขอบหน้าจอทั้งสี่ด้านจะมีสีดำเหลืออยู่โดยที่ขนาดเท่ากันและเป็นจอแบนที่มีสัดส่วนลงตัว

ตัวเครื่องด้านซ้ายจะมาพร้อมปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด-ปิดเสียง

ส่วนปุ่มเปิด-เครื่องจะวางไว้ที่ตัวเครื่องด้านขวาแบบเดี่ยวๆ

พอร์ตชาร์จแบตฯ ยังคงใช้เป็นช่องต่อ Lightning มาพร้อมกับลำโพงสเตอริโอและไมโครโฟนอยู่ที่ตัวเครื่องด้านล่าง

ส่วนตัวเครื่องด้านหลังจะใช้วัสดุสัมผัสแบบด้าน ลดการเกิดรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี โดยมีเลนส์กล้องที่หนาขึ้นวางอยู่บนกรอบอีกชั้น มาพร้อมกัน 3 เลนส์ พร้อม LiDAR scanner

  • เลนส์หลัก 12 ล้านพิกเซล, (wide), f/1.5, Dual Pixel, PDAF, HDR, Sensor-Shift OIS
  • Telephoto 12 ล้านพิกเซล, f/2.8, PDAF, OIS, Optical Zoom 3x
  • Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล, f/1.8, มุมกว้าง 120 องศา, PDAF

จุดเด่น

กล้องของ iPhone 13 Pro Max ถูกพัฒนาให้ถ่ายภาพได้ดีขึ้นด้วยการอัปเกรดขึ้น รองรับระบบออโต้โฟกัสที่สามารถโฟกัสได้ใกล้ขึ้น และถ่ายมาโครได้ในระยะห่างเพียง 2 ซม. และถ่ายวิดีโอแบบมาโครได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังสามารถถ่ายกลางคืนให้สว่างและสวยขึ้นด้วยกล้องไวด์มีรูรับแสงกว้างขึ้นและเซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น ทำงานร่วมกับสแกนเนอร์ LiDAR ช่วยให้การถ่ายภาพบุคคลกลางคืนโดดเด่นขึ้นมาอีก

ส่วนกล้องวิดีโอได้เพิ่ม Cinematic Mode รองรับการถ่ายภาพเคลื่อนไหวแบบหน้าชัดหลังเบลอ โดยเหมาะกับการถ่ายวิดีโอบุคคล ซึ่งโฟกัสจะติดตามและประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว

จอภาพถูกพัฒนาขึ้นและเป็นรุ่นแรกของค่ายที่มีจอแบบ ProMotion รองรับการใช้งานรีเฟรชเรท 120Hz ปรับการใช้งานแบบไดนามิก หรือขึ้นอยู่กับแอปฯ ที่รองรับ ซึ่งจะทำงานตั้งแต่ 10 – 120Hz เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน ซึ่งจะเห็นได้ชัดเมื่อเล่นเกม

iPhone 13 Pro Max ใช้ชิปเซ็ต A15 Bionic รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีความลื่นและเร็ว ทำงานร่วมกับ GPU แบบ 5‑core ประสิทธิภาพด้านกราฟิกเร็วสูงสุดถึง 50%

รุ่นนี้ได้พัฒนาขึ้นให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานกว่าเดิมถึง 2.5 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็น iPhone ที่มีแบตฯ ใช้งานได้ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา

iPhone 13 Pro Max วางจำหน่ายแล้ววันนี้ทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Sierra Blue, Silver, Graphite และ Gold ในราคา
ราคา iPhone 13 Pro Max

  • ความจุ 128GB ราคา 42,900 บาท
  • ความจุ 256GB ราคา 46,900 บาท
  • ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
  • ความจุ 1TB ราคา 62,900 บาท

สเปค iPhone 13 Pro Max

  • หน้าจอ Super Retina XDR OLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล
  • เทคโนโลยีหน้าจอ ProMotion 120Hz, True Tone
  • ชิปเซ็ต ชิป A15 Bionic แบบ 6‑core GPU แบบ 5‑core Neural Engine แบบ 16‑core
  • ROM 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB
  • กล้องหลัง 3 เลนส์
  • – เลนส์หลัก 12 ล้านพิกเซล, (wide), f/1.5, Dual Pixel, PDAF, HDR, Sensor-Shift OIS
  • – Telephoto 12 ล้านพิกเซล, f/2.8, PDAF, OIS, Optical Zoom 3x
  • – Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล, f/1.8, มุมกว้าง 120 องศา, PDAF
  • กล้องหน้า TrueDepth 12 ล้านพิกเซล, f/2.2, Retina Flash, HDR
  • รองรับการเชื่อมต่อ 5G (sub‑6 GHz), Gigabit LTE, Wi‑Fi 6, Bluetooth 5.0, Ultra Wideband, NFC
  • ระบบปฏิบัติการ iOS 15
  • กันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68
  • ขนาดตัวเครื่อง 160.8 × 78.1 × 7.65 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก 238 กรัม

แสดงความคิดเห็น